วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

ซัมซุงเริ่มผลิต"ทีวีสามมิติ"แล้ว!!!

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ (Samsung Electronics) ได้ออกมาประกาศว่า ทางบริษัทได้เริ่มเดินหน้าผลิตเครื่องรับโทรทัศน์สามมิติ (3D Television) เพื่อวางจำหน่ายให้กับผู้บริโภคที่ต้องการในท้องตลาดแล้ว โดยเป้าหมายต้องการเป็นบริษัทผู้ผลิตทีวีสามมิติรายแรกของโลก

ซัมซุงกำลังเริ่มผลิตหน้าจอแสดงผล LED และ LCD ขนาด 40 นิ้ว 46 นิ้ว และ 55 นิ้ว เพื่อนำไปใช้กับทีวีความละเอียดสูง (full-HD) ที่สามารถแสดงผลแบบสามมิติ โดยใช้เทคโนโลยี 3D Active Glasses ซึ่งทีวีทีผลิตออกมาจะมีอัตรารีเฟรชอยู่ที่ 240 Hz สำหรับปัจจัยที่ทำให้ตลาดทีวีสามมิติได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเกิดจากการจุดพลุในงาน CES 2010 และภาพยนต์ AVATAR

ในขณะที่นักวิเคราะห์ยังไม่แน่ใจว่า ทีวีสามมิติจะได้รับความนิยมมากน้อยเพียงใด แต่ก็มีรายงานออกมาจาก DisplaySearch ประมาณการณ์ไว้ว่า ตลาดทีวีสามมิติจะโตจาก 902 ล้านเหรียญฯ ในปี 2008 เป็น 22 ล้านเหรียญฯในปี 2018 "ทีวีสามมิติเพิ่งจะมาได้รับความสนใจจากอุตสาหกรรมเมื่อเร็วๆ นี้เอง" Wonkie Chang ประธานฝ่ายธุรกิจจอ LCD ของซัมซุง กล่าว "ซัมซุงตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดสำหรับจอแสดงผล 3D ตลอดจน แอลซีดีทีวี และแอลอีดีทีวีสามมิติ"

ในส่วนของเทคโนโลยีสามมิติที่ซัมซุงใช้เรียกว่า 3D Active Glasses ซึ่งจะทำหน้าที่เปิดปิดเลนส์ของแว่นตาข้างซ้าย และขวา เพื่อรับภาพสองภาพบนหน้าจอที่แสดงผลไม่พร้อกมัน ทำให้มองเห็นเป็นภาพ 3 มิติ และด้วยอัตรารีเฟรชที่ 240Hz ทำให้ตาแต่ละข้างสามารถเห็นภาพที่แสดงผลด้วยอัตรารีเฟรช 120Hz ทำให้ได้รับชมภาพยนต์ 3D ที่มีการเคลื่อนไหวสมบูรณ์แบบทั้งสองข้าง นอกจากนี้ซัมซุงยังเปิดเผยอีกด้วยว่า ทางบริษัทสามารถลดระยะเวลาตอบสนองในการแสดงผล (response time) สำหรบจอ LCD ให้เหลือต่ำกว่า 4ms เพื่อลดการรบกวนระหว่างเลนส์ซ้ายและขวาอีกด้วย

ข้อมูลจาก: inquirer,arip

เปิดตัว iPad ด้วยราคาเริ่มต้น 499ดอลล่าร์สหรัฐฯ

Steve Jobs ผู้บริหารคนดังของ Apple ได้ออกมาทำการเปิดตัว Apple Tablet หรือที่ใช้ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า iPad เมื่อวานนี้ โดยจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 499ดอลล่าร์สหรัฐฯ สำหรับการใช้งานแบบ Wi-Fi และ 629ดอลล่าร์สหรัฐฯ สำหรับการใช้งานในเครือข่าย 3G Network

โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เหล่าบรรดาสาวกของ Apple ต่างใจจดใจจ่อกับการเปิดตัว Apple Tablet ที่จะมีขึ้นภายในงาน "latest creation" ซึ่งงานนี้เหล่าสาวกไม่ผิดหวัง เมื่อ Steve Jobs ผู้บริหารของ Apple ได้ออกมาทำการเปิดตัว iPad ซึ่งถือได้ว่าเป็นสุดยอดของนวัตกรรมใหม่ โดย Jobs กล่าวว่า iPad นี้ จะมีคุณสมบัติที่ดีกว่าทั้งคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค, เน็ตบุ๊ค และโทรศัพท์มือถือประเภทสมาร์ทโฟน โดยมีการนำเอาเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในการพัฒนาและปฏิวัติใหม่ ซึ่งตัวเครื่องจะมีความหนาแค่เพียง 0.5 นิ้ว และมีน้ำหนักเบาเพียง 1.5 ปอนด์เท่านั้น ซึ่งถือว่าเบากว่าเน็ตบุ๊คทั่วๆไปในปัจจุบัน ในขณะที่หน้าจอนั้นมีความกว้าง 9.7 นิ้ว รองรับการแสดงผลภาพแบบ LED-backlit ร่วมกับเทคโนโลยี IPS ที่จะให้ภาพความละเอียด 1024x768 พิกเซล หรือ 132 พิกเซลต่อนิ้ว ใช้ชิพประมวลผล A4 ที่มีรอบในการประมวลผล 1 กิ๊กกะเฮิร์ต โดยชิพประมวลผล A4 นี้ เป็นผลการพัฒนาและคิดค้นโดย Apple เอง ซึ่งจะมีการรวมเอาชิพซีพียูและกราฟฟิกเข้าไว้ด้วยกันในหนึ่งเดียว โดยอายุการใช้งานของแบตเตอรี่นั้น จะสามารถใช้งานได้นานถึง 10 ชั่วโมง สำหรับการใช้งานประเภทรับชมไฟล์วีดีโอ และจะอยู่ได้นานถึง 1 เดือน สำหรับการแสตนบายเครื่องทิ้งไว้ นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังจะสามารถบันทึกข้อมูลได้ถึง 16-64 กิ๊กกะไบท์ ด้วยแฟลชเมมโมรี่ ทางด้านซอฟท์แวร์ จะสามารถรันแอปพลิเคชั่นทั้งหมดของ iPhone ได้ โดยมีแอปพลิเคชั่นพื้นฐาน ได้แก่ Safari, Mail, Photos, iPod, Calendar, Contacts, Notes, Maps, Movies, YouTube, iTunes Store และ App Store สำหรับราคาจำหน่ายนั้น จะมีราคาอยู่ที่ 499ดอลล่าร์สหรัฐฯ สำหรับรุ่น 16 กิ๊กกะไบท์ ที่รองรับการใช้งาน Wi-Fi อย่างเดียว และ 599 และ 699ดอลล่าร์สหรัฐฯ สำหรับรุ่นขนาด 32 และ 64 กิ๊กกะไบท์ตามลำดับ โดยทั้งสองรุ่นจะรองรับการใช้งานประเภท Wi-Fi อย่างเดียวด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากผู้ใช้สนใจใช้งานประเภท 3G Network จะต้องเสียเพิ่มอีกประมาณ 130ดอลล่าร์สหรัฐฯ สำหรับระยะเวลาการส่งนั้น จะใช้เวลาประมาณไม่เกิน 60 วัน สำหรับตัวเครื่องแบบ Wi-Fi และประมาณ 90 วัน สำหรับตัวเครื่องแบบ 3G

Source :AppleInsider

ข้อมูลจาก : Pantip.com : Tech Exchange - IT NEWS

Apple ขึ้นแท่นยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรฯมือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ณ วินาทีนี้ คงจะไม่มีใครไม่รู้จัก Apple ยักษ์ใหญ่แห่งวงการไอทีไปได้ โดยล่าสุดผู้บริหารคนดังของ Apple ได้ออกมาประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า ในไตรมาสที่ผ่านมา Apple สามารถทำรายได้ได้กว่า 15.6พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ทำให้ ณ เวลานี้ สามารถขึ้นแท่นครองตลาดโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้เป็นผลสำเร็จ

โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ภายในงาน "latest creation" Steve Jobs ผู้บริหารคนดังของ Apple ได้ออกมากล่าวว่า Apple สามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง โนเกีย, โซนี่ และซัมซุง ได้เป็นผลสำเร็จ โดยขึ้นแท่นครองแชมป์เจ้าแห่งวงการโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นอะไรที่น่ามหัศจรรย์และประทับใจเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันนี้ Apple ได้ครอบครองธุรกิจในหลายๆประเภท อาทิ เครื่องเล่นเพลง iPod ที่มียอดสถิติในการจำหน่ายทะลุ 250 ล้านเครื่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการจับตลาดทางด้านซอฟท์แวร์ ด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชั่นขึ้นสำหรับโทรศัพท์มือถือ ซึ่งปัจจุบันมีแอปพลิเคชั่นให้เลือกทำการดาวน์โหลดมากกว่า 140,000 แอปพลิเคชั่นใน App Store และภายในงานเดียวกันยังมีการเปิดตัว iPad หรือ Apple Tablet ที่หลายๆฝ่ายต่างกำลังให้ความสนใจอีกด้วย ซึ่งยิ่งจะทำให้อนาคตข้างหน้าของ Apple น่าจะมีทิศทางไปได้สวย

Source :AppleInsider

ข้อมูลจาก : Pantip.com : Tech Exchange - IT NEWS

MSI เปิดตัวเน็ตบุ๊ครุ่นล่าสุดซึ่งใช้ชิพ Atom N450

MSI ได้ออกมาทำการเปิดตัวเน็ตบุ๊ครุ่นล่าสุดขนาด 10 นิ้ว ซึ่งได้มีการดึงเอาชิพประมวลผล Atom ล่าสุดจาก Intel เข้ามาใช้ หรือที่มีโค้ดเนมว่า Pine Trail

โดยเน็ตบุ๊ครุ่นล่าสุดนี้ จะมีชื่อรุ่นว่า Wind U135 ซึ่งจะใช้ชิพประมวลผล Atom ล่าสุดจาก Intel หรือ Atom N450 ที่มีรอบในการประมวลผล 1.66 กิ๊กกะเฮิร์ต โดยจะมีฮาร์ดดิสก์ความจุ 250 กิ๊กกะไบท์ และมีแรม DDR2 ขนาด 1 กิ๊กกะไบท์ มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 7 Starter ซึ่งจะมีให้เลือกด้วยกัน 4 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน, เงิน, แดง และดำ โดยชิพประมวลผล Atom N450 นี้ ถูกส่งออกมาตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในการรวมเอาซีพียูและชิพกราฟฟิกเข้าไว้ในหนึ่งเดียว ซึ่งจะให้ประโยชน์ในด้านดีไซน์ ทำให้มีขนาดบางมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังจะช่วยลดพลังงานไปได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเน็ตบุ๊คทั่วๆไป โดย U135 นี้ จะมีความหนาเพียง 3/4 นิ้วเท่านั้น และจะมีน้ำหนักเพียง 3 ปอนด์ ด้านแบตเตอรี่ จะใช้แบตเตอรี่แบบ 6 cell ซึ่งจะให้การใช้งานได้สูงสุดถึง 7.5 ชั่วโมง มีหน้าจอแสดงผลแบบ WSVGA ขนาด 10 นิ้ว ซึ่งจะให้ความละเอียดในการแสดงผลภาพ 1024 x 600 พิกเซล รองรับการเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi มีช่องต่อ USB 3 ช่อง และมีกล้องเวบแคมในตัว สำหรับราคาจัดจำหน่าย จะมีสนนราคาอยู่ที่ 330ดอลล่าร์สหรัฐฯ

Source :TechWeb

ข้อมูลจาก : Pantip.com : Tech Exchange - IT NEWS

Apple เปิดตัว CPU ในการพัฒนาของตน A4

Apple เปิดตัว CPU ในการพัฒนาของตน A4

ภายใต้เสียงโห่ร้องของเหล่าแฟนๆ ระหว่างการเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ล่าสุดของ Apple อย่าง iPad นั้น ทาง Apple ก็ได้เปิดตัว CPU ที่ใช้เทคโนโลยีการพัฒนาของตนเองอย่างแนบเนียนไปด้วยเช่นเดียวกัน โดย CPU ที่ว่านี้มีโค้ดเนมว่า Apple A4 ซึ่งถือว่าเป็น CPU ที่พัฒนาขึ้นเองเป็นตัวแรกจากแต่เดิมที่นิยมใช้ CPU จากฝั่ง Intel และแม้จะมีสเปคบอกความเร็วไว้ที่ 1GHz แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ CPU รุ่นเดียวกันจากค่ายคู่แข่งแล้ว Apple A4 ถือว่าเป็น CPU ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดตัวหนึ่งเลยทีเดียว A4 นั้นสามารถที่จะเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดสูงแบบ HD ได้กว่า 10 ชั่วโมงในการชาร์ตพลังงานแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามสเปครายละเอียดของ Apple A4 ยังไม่มีการเปิดเผยจากทาง Apple แต่อย่างใด

Source :tomshardware.com

ข้อมูลจาก : Pantip.com : Tech Exchange - IT NEWS

ผู้พัฒนา Ubuntu เลือก Yahoo เป็นเสิร์จเอนจิ้นมาตรฐาน

Yahoo ถูกคัดเลือกจากทีมพัฒนาระบบปฎิบัติการฟรีแวร์ Ubuntu ให้เป็นเสิร์จเอนจิ้นค่ามาตรฐานของซอฟท์แวร์

Rick Spencer of Canonical บริษัทผู้อยู่เบื้องหลังของการพัฒนาระบบปฎิบัติการฟรีแวร์พื้นฐาน Linux อย่าง Ubuntu ได้ประกาศข้อตกลงระหว่างตนและเสิร์จเอนจิ้นอย่าง Yahoo ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่ามาตรฐาน (Default) ของระบบค้นหาใดๆ ในระบบปฎิบัติการให้เป็น Yahoo ไม่เว้นแม้แต่การตั้งค่าของโปรแกรมเว็บบราวเซอร์อย่าง Firefox ที่จะถูกกำหนดค่าการค้นหาให้เป็น Yahoo ตั้งแต่แรก โดยการตกลงดังกล่าวนั้นมีการวิเคราะห์กันว่าอาจเป็นเรื่องผลประโยขน์สนับสนุนที่ทาง Yahoo เสนอให้มากกว่าเจ้าเดิมอย่าง Google โดยการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้นั้นทางผู้พัฒนาได้กล่าวว่าจะเริ่มขึ้นเมื่อทุกๆ อย่างเป็นไปตามแผนการ และมีการคาดการณ์กันว่าการเปลี่ยนแปลงอาจจะมาพร้อมกับ Ubuntu เวอร์ชั่น 10.04 ที่มีกำหนดเปิดตัวในเดือนเมษายน อย่างไรก็ตามอ้างอิงจากผู้พัฒนาผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเสิร์จเอนจิ้นตามที่ตนถนัดได้อย่างไม่ยากเย็น

Source :techspot.com

ข้อมูลจาก : Pantip.com : Tech Exchange - IT NEWS

Google Chrome และ Safari เข้าสนามชิงอันดับสามในสงครามบราวเซอร์

2 โปรแกรมเว็บบราวเซอร์รุ่นใหม่ร่วมจับตลาดชิงอันดับสามของส่วนแบ่งผู้ใช้โปรแกรมทั่วโลก

แม้ว่าผู้ใช้โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ทั่วโลกส่วนใหญ่จะเทใจให้กับโปรแกรมที่ติดตั้งมาแต่เดิมกับระบบปฎิบัติการอย่างตระกูล IE ของทาง Microsoft และ Firefox จาก Mozilla ที่ตามทำคะแนนมาติดๆ เป็นอันดับสองแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่ Firefox จะครองฐานผู้ใช้จาก IE ได้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น และสงครามที่ร้อนแรงจริงๆ ณ ขณะนี้ทุกคนต่างมุ่งเน้นไปที่สงครามแย่งชิงอันดับสามจากกลุ่มผู้ใช้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านไอทีระหว่าง Google Chrome จาก Google และ Safari จาก Apple และล่าสุดจากผลการสำรวจของ Net Applications ที่มีฐานข้อมูลผู้ใช้กว่า 160 ล้านพบว่า Googlr Chrome นั้นเป็นบราวเซอร์ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในรอบเดือน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเปอร์เซ็นต์ยอดรวมของผู้ใช้ Googlr Chrome นั้นมีเพียงแค่ 4.4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และ Safari มีฐานผู้ใช้รวมอยู่ที่ 4.37 เปอร์เซ็นต์ (IE 64 , Firefox 25 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ) แต่ผลรายงาน 2 บราวเซอร์ดังกล่าวนี้เป็นที่ถูกจับตามองมากที่สุดเนื่องจากยอดที่ Google Chrome สามารถทำได้นั้นหากเปรียบเทียบระยะเวลาแล้วจะสูงกว่า Firefox ถึงกว่าเท่าตัวในระยะเวลาเดียวกัน (1ปี) และยอดเติบโตของ Safari นั้นก็เปรียบเสมือนยอดจำนวนของผู้ใช้ Mac ที่มีเปอร์เซ็นต์โดยรวมพุ่งสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

Source :techspot.com

ข้อมูลจาก : Pantip.com : Tech Exchange - IT NEWS

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

นักวิเคราะห์ฟุ้ง"ไอแพด"ฟัน 4 ล้านเครื่อง

หลังจากแอปเปิล (Apple) แนะนำแท็บเล็ต "ไอแพด" (iPad) เมื่อช่วงเช้าของวันพุธที่ผ่านมาด้วยระดับที่ต่ำกว่าที่คาดไว้มาก ส่งผลให้นักวิเคราะห์การลงทุนรีบเพิ่มตัวเลขยอดจำหน่ายของ"ไอแพด" ในปีแรกขึ้นเป็น 4 ล้านเครื่อง และโตเป็นสองเท่าในปี 2011 หรือเพิ่มเป็น 8 ล้านเครื่อง

Gene Muster นักวิเคราะห์จาก Piper Jaffray กล่าวว่า ด้วยความที่ไอแพดมีราคาเริ่มต้นแค่เพียง 499 เหรียญฯ (ประมาณ 16,500 บาท) ทำให้เขาเชื่อว่า แอปเปิลจะสามารถขายไอแพดได้ 3 - 4 ล้านเครื่องภายใน 12 เดือน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากตัวเลขที่เขาเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้แค่ 1.9 ล้านเครื่อง เนื่องจากราคาประเมินของไอแพดในตอนนั้นอยู่ที่ 600 เหรียญฯ (ประมาณ 20,000 บาท) "เราคาดว่า ความสนใจในปีแรก (2010) ของไอแพดน่าจะทำให้ได้้ยอดประมาณนี้ แต่ในปี 2011 จะเป็นปีที่ไอแพดประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยจะสร้างรายได้ให้กับแอปเปิลเพิ่มขึ้นถึง 4.6 พันล้านเหรียญฯ (7.5%)" Munster กล่าว

นอกจากนี้ Munster ยังเชื่ออีกด้วยว่า ตัวเลขปีแรกของไอแพดน่าจะอยู่ที่จุดต่ำสุดที่วอลสตรีทคาดการณ์ไว้ (4 - 5 ล้านเครื่อง) อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อมั่นต่อไปอีกด้วยว่า ไอแพดจะมียอดชายในปี 2011 สูงเป็นสองเท่าของปีนี้ นั่นก็คือจำนวน 8 ล้านเครื่อง อย่างไรก็ตาม ไอแพดอาจส่งผลกระทบกับยอดจำหน่ายของผลิตภัณฑ์บางตัวด้วยอย่างเช่น ไอพอดทัช (iPod Touch) เป็นต้น

"หลังจากได้ลองใช้ไอแพด เราเชื่อว่า มันจะกินตลาดกันเองสำหรับยอดขายของไอพอดทัช แต่ไม่กระทบเคื่องแม็ค" Munster กล่าว "ยังไงเสีย แก็ดเจ็ต (iPad) ก็เป็นได้แค่อุปกรณ์โมบายระดับพรีเมี่ยม แต่ไม่ใช่คอมพิวเตอร์" เนื่องจากผู้ซื้อไอพอดทัชอาจเปลียนใจไปซื้อไอแพดแทน แต่สำหรับผู้บริโภคที่กำลังมองหาคอมพิวเตอร์แลปทอปจะยังคงเลือกใช้แมคบุ๊ก นักวิเคราะห์ยังคงคาดหวังไว้สูงสำหรับมูลค่าหุ้นขอแอปเปิล โดยมั่นใจว่า มันจะแตะอยู่ที่ 280 เหรียญฯ เลยทีเดียว

ข้อมูลจาก: AppleInsider,arip

อุปกรณ์เสริมสำหรับการใช้งาน"ไอแพด"

ในการเปิดตัว "ไอแพด" (iPad) สตีฟ จอบส์ ซีอีโอของแอปเปิล (Apple) ได้แนะนำอุปกรณ์เสริมการใช้งานแท็บเล็ต 3 ชิ้นด้วยกัน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานไอแพดมากขึ้น ซึ่งสำหรับอุปกรณ์เสริมที่ว่านี้มีอะไรบ้างนั้น เราไปทำความรู้จักกันเลยดีกว่าครับ

หากจะนิยามง่ายๆ แล้ว ความจริง "ไอแพด" ก็คือ ไอโฟนขนาดใหญ่ ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีพอร์ตสำหรับการเชื่อมต่อการใช้งานที่ให้ประสบการณ์เดียวกับคอมพิวเตอร์ทั่วไป และเพื่อให้มันสามารถทำงานในลักษระดังกล่าได้ ทางแอปเปิลจึงได้เตรียมอุปกรณ์เสริมการใช้งานให้ด้วย โดยจะทำเป็นแท่นต่อเชือมการทำงาน (docking) ทีมาพร้อมกับพอร์ต USB และช่องอ่านการ์ดหน่วยคามจำ SD รวมถึงสายไฟพาวเวอร์

นอกจากนี้ ด็อคกิ้งของไอแพดยังสามารถต่อเข้ากับคีย์บอร์ดของแอปเปิลได้อีกด้วย (แบบว่า มันคงไม่สะดวกนักหากจะพิมพ์สัมผัสจากหน้าจอที่ตั้งขึ้นมา) ซึ่งเมื่อต่อเชื่อมอุปกรณ์เสริมเหล่านี้เข้ากับไอแพดแล้ว มันเหมือนคุณมี mini iMac ยังไงยังงั้น

สำหรับอุปกรณ์เสริมชิ้นสุดท้ายจะเป็น ซอง(ปก)แข็ง (คล้าย Kindle) พร้อมขาตั้งสำหรับไอแพด ซึ่งเจ้าซองใส่ทีว่านี้ทำจากหนัง โดยนอกจากจะทำหน้าที่เป็นปกแข็งคอยป้องกันรอยขีดข่วน และสะดวกในการถือเหมือนหนังสือเล่มแล้ว มันยังทำหน้าที่เป็นขาตั้งที่ปรับระดับได้ เพื่อเอาไว้ใช้ดูหนัง หรือใช้แทนกรอบภาพดิจิตอลได้อีกด้วย...ว้าว!!!





ข้อมูลจาก: gizmodo,arip

แอปเปิล"ไอบุ๊กส์ สโตร์"สำหรับไอแพด

นอกจากการเปิดตัวแท็บเล็ต "ไอแพด" (iPad) แล้ว เมื่อวันพุธทีผ่านมา แอปเปิลยังแนะนำร้านหนังสือในโลกเสมือนที่มีชื่อว่า "ไอบุ๊กส์" (iBooks Store) สำหรับให้บริการดาวน์โหลดคอนเท็นต์ไปอ่านบนไอแพดที่มีหน้าจอสีขนาด 9.7 นิ้วอีกด้วย

สตีฟ จอบส์ ซีอีโอของแอปเปิลได้สาธิตแอพพลิเคชัน ซึ่งมีคุณสมบัติการทำงานของชั้นหนังสือส่วนตัวของผู้ใช้ทีแสดงผลในรูปแบบ 3D โดยเขาได้สืบค้นหนังสือจำนวนหนึ่งที่อยู่ในรายการหนังสือขายดีของ"นิวยอร์ก ไทมส์" สำหรับอีบุ๊กจะสามารถเปิดอ่านได้ก่อนที่จะสั่งซื้อ และดาวน์โหลดมาใส่ใน"ชั้นหนังสือเสมือน" (virtual bookshelf) บนไอแพด "ถ้าคุณเคยใช้ iTunes หรือ App Store อยู่แล้ว คุณก็จะคุ้นเคยกับสิ่งนี้ (iBooks Store) ได้ทันที" จอบส์ กล่าว

สำหรับการอ่านอีบุ๊ก ผู้ใช้จะสามารถแตะหน้าจอตรงไหนก็ได้บริเวณทางฝั่งขวา เพื่อพลิกหน้าหนังสือ และทางฝั่งซ้าย เพื่อพลิกไปหน้าก่อนหน้านี้ ในส่วนของ 5 สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ที่ร่วมเป็นพันธมิตรในการให้บริการหนังสือใน iBooks Store ได้แก่

  • HarperCollins Publishers
  • Hachette Book Group
  • Penguin
  • Macmillion
  • Simon & Shuster

นอกจากสำนักพิมพ์ข้างต้นแล้ว จอบส์ยังกล่าวอีกว่า จะมีสำนักพิมพ์รายอื่นๆ ตามมาอีกมากกว่านี้ "เรากำลังจะเปิดประตูสำหรับสำนักพิมพ์อื่นๆ ในโลกที่สนใจตั้งแต่บ่ายนี้เป็นต้นไป" จอบส์ กล่าว สำหรับ iBooks Store จะเริ่มให้บริการพร้อมกับการวางตลาดของ iPad ในสหรัฐ "คุณสามารถชมภาพยนต์ รายการทีวี และยูทูบ ซึ่งทั้งหมดอยู่ในฟอร์แมตไฮเดฟ หรือจะพลิกหน้าของอีบุ๊กที่คุณดาวน์โหลดมาจาก iBooks store ขณะที่กำลังฟังเพลงโปรดของคุณ"

ข้อมูลจาก: AppleInsider,arip

แอปเปิลเปิดตัวแท็บเล็ต "ไอแพด" แล้ว!!!

รายงานข่าวล่าสุด แอปเปิล (Apple) ได้ประกาศเปิดตัว "ไอแพด แท็บเล็ต" (iPad Tablet) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมันมีคุณสมบัติเป็นแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดหน้าจอ 9.1 นิ้ว ซึ่งตำแหน่งทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จะอยู่ระหว่าง "ไอโฟน" (iPhone) และ "แม็คบุ๊ค" (MacBook) พร้อมกันนี้ยังได้แนะนำ "iBook Store" หน้าร้านเสมือนสำหรับอีบุ๊กด้วย

"ไอแพด" จะมีความหนาเพียง 0.5 นิ้ว และหนักแค่ 1.5 ปอนด์ (ประมาณ 680 กรัม) ใช้สำหรับท่องเว็บ อีเมล์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง เกมส์ และอีบุ๊ก คุณสมบัติโดยรวมจะคล้ายกับไอพอดทัช (iPod Touch) ที่มีขนาดใหญ่กว่า "เราตั้งใจทำให้ไอแพดเป็นทั้งเทคโนโลยี และศิลปะ" สตีฟจอบส์กล่าว "การรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ทำให้เราได้คำตอบออกมาเป็นไอแพด"

กล่าวโดยสรุป ไอแพดจะสามารถรันแอพพลิเคชันทั้งหมดที่อยู่บนไอโฟน และไอพอดทัชได้ โดยไม่ต้องมีการปรับแต่งการทำงานแต่อย่างใด เพียงแค่ขยายหน้าจอเดิมเป็นสองเท่า มันมาพร้อมกับ iTunes และ App Store คีย์บอร์ดเสมือนสำหรับพิมพ์ และเมนูป๊อปอัพ สนับสนุนการเล่นวิดีโอไฮเดฟฯ เชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 802.11n และ Bluetooth 2.1+EDR ระบบเซ็นเซอร์ Accelerometer เข็มทิศ ลำโพง ไมโครโฟน และคอนเน็คเตอร์ขนาดมาตรฐาน(30 พิน)ของแอปเปิล

ภายในไอแพดจะใช้ชิป Apple A4 ความเร็ว 1GHz (เป็นชิพที่พัฒนาเอง) และมีหน่วยความจำแฟลชที่มีให้เลือกตั้งแต่ 16GB ถึง 64GB จอบส์อ้างว่า แบตเตอรี่ของมันสามารถทำงานได้นานต่อเนื่อง 10 ชั่วโมง และสแตนด์บายได้นานมากกว่าหนึ่งเดือน ไอแพดไม่มีสารพิษอย่างสารหนู BFR (Brominated flame retardant) ปรอท พีวีซี และสามารถรีไซเคิลได้แทบทุกชิ้น

ไอแพดสนับสนุนการใช้งานเป็น"อีบุ๊ก"ที่มาพร้อมกับร้านหนังสือออนไลน์ "ไอบุ๊กส์" (iBooks) นั่นหมายความว่า แอปเปิลตอนนี้มีร้านค้าออนไลน์ถึง 3 ร้านด้วยกันคือ แอพ สโตร์, ไอจูนส์ สโตร์ และไอบุ๊ก สโตร์ โดยไอแพดรองรับการเปิดไฟล์เอกสาร สเปรดชีต และพรีเซนเทชั่น (iWork ที่ได้รับการปรับแต่งให้ใช้งานบนไอแพด)


ในขณะที่ไอแพดมี Wi-Fi แต่ก็สามารถเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายไร้สาย 3G (ผ่าน AT&T) โดยขึ้นอยู่กับเวอร์ชันของบริการ โดยหากเลือกใข้แบนด์วิดธ์ขนาด 250MB จะต้องเสียค่าบริการ 14.99 เหรียญฯต่อเดือน หรือประมาณ 500 บาท และแบบไม่จำกัดจะอยู่ที่ 29.99 เหรียญฯต่อเดือน หรือประมาณ 1,000 บาท (ถ้าเป็นทรูจะคิดเท่าไรเนี่ย?) ซึ่ง iPad 3G ทุกเครื่องจะปลดล็อค (ไม่ผูกติดกับโอเปอเรเตอร์) และใช้ GSM microSIM card สำหรับข้อตกลงการใช้งานในประเทศต่างๆ จะประกาศในช่วงเดือนมิถุนายน หรือกรกฎาคม สนนราคาของไอแพดจะอยู่ระหว่าง 499 เหรียญฯ (ประมาณ 16,500 บาท) และเพิ่มขยายคุณสมบัติได้จนถึงราคา 829 เหรียญฯ (ประมาณ 27,500 บาท) ขึ้นอยู่กับเวอร์ชันที่เลือก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

  • 16GB Wi-Fi อย่างเดียว: $499
  • 16GB Wi-Fi + 3G: $629
  • 32GB Wi-Fi only: $599
  • 32GB Wi-Fi + 3G: $729
  • 64GB Wi-Fi อย่างเดียว: $699
  • 64GB Wi-Fi + 3G: $829
นอกจากนี้ไอแพดยังจะมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมทีมีลักษณะเป็น"ด็อคกิ้ง"ที่มีฟังก์ชันคล้ายกรอบรูป พร้อมด้วยคีย์บอร์ด (สามารถเปลี่ยนไอแพดให้กลายเป็นแอคบุ๊ก) และเคส อย่างไรก็ตาม สตีฟจอบส์ไม่ได้แจ้งถึงกำหนดวางตลาดของไอแพดแต่อย่างใด
*อัพเดต: กำหนดวางตลาด iPad ทีมาพร้อม Wi-Fi อย่างเดียวจะวางตลาดในช่วงปลายเดือนมีนาคม ศกนี้ ส่วนเวอร์ชัน Wi-Fi กับ 3G จะเป็นในช่วงเดือนเมษายน


ข้อมูลจาก: pcmag,arip

ว้าว!!! รถของเล่นบังคับวิทยุพลังโค้ก

แก็ดเจ็ต (Gadget) ก่อนนอนคืนนี้ ทาคาร่าโทมี (Takara Tomy) บริษัทผู้ผลิตของเล่นในญี่ปุ่นได้พัฒนาต้นแบบของเล่นยุคใหม่เป็นรถบังคับวิทยุ "eno Bio Engine car" ที่มีคุณสมบัติเป็นของเล่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Toy) เนื่องจากมันสามารถซิ่งได้ด้วยแบตเตอรี่ชีวภาพ (Bio-Battery) ที่ใช้น้ำตาลของโซนี่ (Sony)

รถบังคับวิทยุที่เห็นในคลิปนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนาต้นแบบ (รูปร่างจะค่อนข้างใหญ่เทอะทะพอสมควร) ซึ่งเมื่อพัฒนาเสร็จสมบูรณ์แล้ว มันจะมีการสูญเสียของพลังงานที่ต่ำกว่านี้ และเป็นการเปิดโลกวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ให้กับเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี ระบบสร้างไฟฟ้าแบตเตอรี่ซีวภาพที่ใช้กระบวนการเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้าด้วยวิธีเดียวกันกับการย่อยเอ็นไซม์ของสิ่งมีชีวิต

สำหรับปัจจัยของรถบังคับวิทยุพลังน้ำตาลจะสามารถวิ่งเร็ว หรือวิ่งได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของเครื่องดื่มที่เติมเข้าไป โดยหากยิ่งเติมโค้กเข้าไปมากแค่ไหน รถก็จะมีกำลังในการวิ่งได้เร็ว และนานขึ้นเท่านั้น เพราะน้ำตาลจะให้พลังงานกับแบตเตอรี่ ซึ่งในการสาธิตของเล่นดังกล่าว ทางบริษัทได้เลือกใช้เครื่องดื่มโค้ก...สุโค่ย!!!


ข้อมูลจาก: gigazine,arip

ภาพหลุด Apple Tablet ก่อนประกาศ?

เว็บไซต์ engadget เผยภาพหลุดที่สงสัยว่า มันคือ Apple Table โดยมันมีขนาดหน้าจอ 9 หรือ 10 นิ้ว และมีกล้องที่อยู่ด้านหน้า ซึ่งทางเว็บไซต์กล่าวว่า มันดูคล้ายกับไอโฟน (iPhone) ขนาดใหญ่ที่ด้านหลังของตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียมแบบเดียวกับแมคบุ๊ก (MacBook)

ส่วนรายละเอียดของราคาเครื่อง หากผูกกับสัญญาของ Verizon จะอยู่ที่ 800 เหรียญฯ (ประมาณ 26,500 บาท) แต่ราคาเครื่องเปล่าจะขยับขึ้นไปเป็น 1,000 เหรียญฯ (ประมาณ 33,000 บาท) โดยจะวางตลาดในเดือนมีนาคม [อีก 3 ชั่วโมงก็จะได้เห็นภาพของจริงกันแบบเต็มตาแล้ว?]

ข้อมูลจาก: engadget,arip

รับวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก ทส. เตรียมจัดกิจกรรมอนุรักษ์ "ดอนหอยหลอด" 1 ก.พ. นี้

ทส. จับมือเครือข่ายเตรียมจัดกิจกรรมอนุรักษ์ "ดอนหอยหลอด" เนื่องในวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก ด้วยแนวคิด "โลกร้อนบรรเทาได้ หากใส่ใจพื้นที่ชุ่มน้ำ" หวังกระตุ้นประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงตระหนักถึงคุณค่าของดอนหอยหลอด เพื่อร่วมมือกันอนุรักษ์ ฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำของไทยที่มีความสำคัญระดับโลก ให้กลับมามีสภาพสมบูรณ์ดังเดิม

ข้อมูลจาก : Manager Online - วิทยาศาสตร์

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

พบหลักฐานยัน"ซูนโฟน"ไม่ใช่ข่าวลือ

แม้จะมีข่าวคราวหลุดออกมาว่า ไมโครซอฟท์ (Microsoft) เตรียมออก"ซูนโฟน" (Zune Phone) พร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows Mobile 7 ในงาน Mobile World Congress ที่จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 15 เดือนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่พอจะยืนยันว่า ไมโครซอท์มีแผนพัฒนาซูนโฟนออกมาจริง จนกระทั่ง...

ล่าสุดได้มีการพบข้อมูลที่น่าจะใช้เป็นหลักฐานได้เป็นอย่างดีว่า ไมโครซอฟท์เตรียมออกซูนโฟนให้ได้ใช้กันจริงๆ โดยหลังจากที่บล็อกเกอร์นามว่า Zhen ได้พยายามไล่โค้ดการทำงานของซอฟต์แวร์อัพเดตของ Zune เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า ในโค้ดที่ออกมาใหม่นั้นมีการอ้างอิงไดรเวอร์สำหรับ Zune Phone ด้วย โดยรายละเอียดของบรรทัดดังกล่าวที่ปรากฎอยู่ในโปรแกรมมีดังนี้

%Phone.DeviceDesc% = ZuneMTPZUSB, USBVID_045E&PID_0640

%Phone.DeviceDesc% = ZuneMTPZUSB, USBVID_045E&PID_0641

%Phone.DeviceDesc% = ZuneMTPZUSB, USBVID_045E&PID_0642

หมายเลขรหัสของ 3 ผลิตภัณฑ์ที่ปรากฎในโค้ดน่าจะหมายถึงรุ่นต่างๆ ของ Zune Phone ที่จะออกวางจำหน่าย โดยอาจจะแตกต่างกันทีขนาดของสตอเรจ แต่ไม่ว่ามันจะมีความหมายอย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้ก็น่าจะเป็นหลักฐานที่ชัดเจนมากพอที่จะยันยันได้ว่า ไมโครซอฟท์เตรียมออก Zune Phone พร้อม WinMo7 (ที่หลายฝ่ายคาดว่ามันจะสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดกลับมาได้) ซึ่งคงต้องรอลุ้นกันต่อไปในช่วงกลางเดือนหน้า โดยรับรองว่า ทางเว็บไซต์ arip จะไม่ลืมติดตาม เพื่อมานำเสนอให้กับคุณผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านครับ :p

ข้อมูลจาก: zdnet,arip

บังคับหุ่นยนต์จิ๋วด้วย "แอนดรอยด์โฟน"

ก่อนหน้านี้ ทั่วโลกรู้จักหุ่นยนต์ตัวจิ่ว หรือฮิวแมนอยด์ตัวจ้อยที่ชื่อว่า Plen ด้วยลีลาการเต้น หรือเล่นสเกตบอร์ดได้เองโดยไม่ล้ม แต่ก็ด้วยความสามารถที่เหนือกว่าหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ นี่เองทำให้มันมีราคาสูงถึง 262,500 เยน หรือประมาณ 97,000 บาท ล่าสุดหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่มีความสูงแค่ 9 นิ้วตัวนี้ สามารถควบคุมการทำงานด้วยสมาร์ทโฟน "แอนดรอยด์" ได้แล้ว

เนื่องจาก Plen สามารถควบคุมการทำงานแบบไร้สายด้วยบลูทูธ ว่าแล้วนักพัฒนาก็เลยทำแอพพลิเคชันบนแพลตฟอร์มสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ เพื่อใช้สั่งการเจ้าหุ่นยนต์นี้ โดยอาศัยข้อได้เปรียบจากการทำงานของเซ็นเซอร์ตรวจจับความเร่งแบบ 3 แกน (Accelerometer) และระบบหน้าจอสัมผัส ทำให้คุณสามารถควบคุมท่าทางของหุ่นยต์ได้ด้วยการจับแอนดรอยด์โฟนคว่ำหงายไปมา หรือจิ้มไอคอนคำสั่งต่างๆ บนหน้าจอ ก็ทำให้ได้ประสบการณ์ในการเล่นเจ้า Plen อีกรูปแบบหนึ่ง

Plen จากบริษัท Akazawa นอกจากจะเป็นหุ่นยนต์จิ๋วที่มีราคาแพงแล้ว มันยังผลิตออกมาวางจำหน่ายแค่ 50 ตัวเท่านั้น ใครอยากเล่นนอกจากกระเป๋าหนักแล้ว ยังต้องรีบอีกด้วย ไม่เช่นนั้นมันอาจจะหมดเสียก่อน แต่สำหรับคนเบี้ยน้อยอย่างเรา เอาแค่ได้ดูจากคลิปก็น่าจะพอแล้วล่ะ :p


ข้อมูลจาก: Androidguy,arip

ไอเดีย"อินเตอร์เฟซ"ของ Apple Tablet

ขณะรายงานข่าวชิ้นนี้ เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงวันก็จะได้เวลาที่แอปเปิล (Apple) จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลายคนคาดว่า หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นแท็บเล็ต (Tablet) ยิ่งเวลางวดเข้ามามากเท่าไร ข่าวคราวเกี่ยวกับแก็ดเจ็ตชินนี้ก็มีให้ติดตามกันตลอดเวลา มีทังภาพถ่ายทีทำมาหลอกกันว่า มันคือ แอปเปิ้ลแท็บเล็ต ไปจนถึงโฆษณาปลอมที่พยายามทำกันออกมา

อย่างไรก็ตาม เช้านี้ ผมมีไอเดียของ Apple Tablet มาอุ่นเครื่องคุณผู้อ่านแต่เช้าเหมือนกัน โดยเป็นผลงานของ Lex Lareo นักออกแบบทีจินตนาการว่า ส่วนติดต่อผู้ใช้ หรือ user interface ของแอปเปิลแท็บเล็ต ควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร โดยเฉพาะแนวคิดที่ว่า มันสามารถควบคุมการใช้งานส่วนต่างๆ ด้วยนิ้วโป้งทั้งสองของผู้ใช้ขณะที่ถือมันไว้ในมือ

สำหรับแนวคิดการออกแบบ UI ของแอปเปิลแท็บเล็ต จะพิจารณาจากลักษณะการใช้งานโดยเฉพาะโซนของการสัมผัสบนหน้าจอ ซึ่งมีการทำภาพแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พื้นทีใช้งานบนหน้าจอด้วยนิ้วโป้งขณะถืออุปกรณ์ (เทียบระหว่างไอโฟน และไอแพด) อยู่ในมือนั้นจะมีลักษณะอย่างไร โดยมีอุ้งมือเป็นจุดหมุนในการกวาดนิ้วโป้งไปยังส่วนของอินเตอร์เฟซต่างๆ ดังรูป

นักออกแบบเชื่อว่า แม้ไอเดียของ UI ที่นำมาฝากกันในวันนี้จะไม่ใช่ของจริง แต่มันมีโอกาสเป็นไปได้ว่า บางส่วนของอินเตอร์เฟซที่เห็นนี้น่าจะมีเค้าลางให้ได้เห็นกันบ้างในวันพรุ่งนี้ ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนนั้น เราคงต้องติดตามกันพรุ่งนี้อีกทีนะครับ



ข้อมูลจาก: Gizmodo,arip

อัพเดต!!!รายงานพิเศษเกี่ยวกับ HP Slate

ในงาน CES 2010 สตีฟ บอลเมอร์ได้นำเสนอคอมพิวเตอร์บนเวทีหลายรุ่นด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็จะมี HP Slate แท็บเล็ตของเอชพีรวมอยู่ด้วย โดยประเด็นใหญ่ใจความที่พูดคุยบนเวทีนอกจากสเป็กคร่าวๆ แล้วจะอยู่่ที่มันมีกำหนดวางตลาดในปี 2010 และเครื่องที่นำมาแสดงนั้นเป็นของจริง ไม่ใช่แค่ต้นแบบแต่อย่างใด

ล่าสุดทางเอชพีได้อัพเดตรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยการจัดทำวิดีโอทีเป็นบทสัมภาษณ์ระหว่าง Greta Schlender ตัวแทนของเอพชีกับ Phil McKinney ประธานบริหารฝ่ายเทคโนโลยีของกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปกรณ์ระบบใช้งานส่วนบุคคลของเอชพี โดย Phil อธิบายว่า ความจริงแท็บเล็ตได้รับการพัฒนา และถูกวางไว้บนชั้นมานานกว่า 2 ปีแล้ว แต่เนื่องจากมันยังไม่ได้รับความสนใจในตลาดก็เลยต้องรอไปก่อน

อย่างไรก็ตาม Phil ใช้คำว่า เนื่องจากมันเป็นช่วงเวลาที่เกิด "perfect storm" ของนวตกรรมฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ (ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะกระแสข่าวของ Tablet แก็ดเจ็ตลึกลับของแอปเปิ้ลด้วย) ทำให้ได้เวลาที่จะเปิดตลาดอุปกรณ์ดังกล่าว HP Slate จะตอบโจทย์เรื่องของการใช้งานมัลติมีเดียผ่านระบบหน้าจอสัมผัส และทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 7 (ข้อมูลมากกว่าที่บอลเมอร์กล่าวไว้ในงาน CES 2010 เพียงเล็กน้อย) และเช่นเคยไม่มีข้อมูลอะไรชัดเจนมากกว่ามันจะวางตลาดในปี 2010 ให้ผู้บริโภคใจเย็นๆ เพื่อรอฟังรายละเอียดที่จะค่อยๆ นำเสนอตามมา สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจแท็บเล็ตพีซีที่ไม่ใช่ของแอปเปิล HP Slate อาจจะเป็นแท็บเล็ตที่เหมาะกับคุณ...ว่าแต่ช่วยบอกอะไรมากกว่านี้อีกสักหน่อยก็จะดีไม่น้อย...หรือจะต้องรอให้แอปเปิลเปิดตัวก่อนแล้วค่อยงัดไม้เด็ดออกมาสู้กระมัง


ข้อมูลจาก: engadget,arip

โต๊ะสัมผัสเชื่อม"โลกจริง"กับ"ภาพฉาย"?

นับวันไอเดียที่เห็นในภาพยนต์ไซไฟจะได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นของจริงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น Pictionaire โต๊ะไฮเทคที่ทำให้ผู้ใช้สามารถสัมผัสภาพฉายจากโปรเจ็กเตอร์กับวัตถุในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยเป็นผลงานความร่วมมือระหว่างไมโครซอฟท์รีเสิร์ชกับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียร์และเบิร์กเลย์

Pictionaire เป็นโต๊ะไฮเทคที่มาพร้อมกับกล้อง และโปรเจ็กเตอร์ที่ได้รับการติดตั้งไว้บนฝ้าเพดานเหนือโต๊ะทีทำงาน โดยกล้องจะทำหน้าที่ถ่ายภาพวัตถุ ส่วนโปรเจ็กเตอร์จะฉายภาพวัตถุที่ถ่ายไว้ (เหมือนสำเนาภาพวัตถุด้วยกล้องแล้วฉายออกมาด้วยโปรเจ็กเตอร์) ลงบนโต๊ะ โดยภาพถ่ายวัตถุที่ฉายลงมาจะสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ในลักษณะของการสัมผัสได้แบบทัชสกรีน ซึ่งไมโครซอฟท์ใช้เทคโนโลยี Surface ในการตรวจจับการสัมผัสจากภาพฉายด้านบนด้วยกล้องกรองแสงอินฟราเรดที่ติดตั้งไว้ใต้โต๊ะตัวเดียวกันดังรูป

กล้อง DSLR และโปรเจ็กเตอร์ที่อยู่เหนือโต๊ะจะทำงานร่วมกัน เพื่อรู้จำภาพวัตถุทั้งส่วนของรายละเอียดของภาพถ่าย ตลอดจนรูปร่างและขนาด ซึ่งจะต้องเท่ากันพอดีเป๊ะ พูดง่ายๆ ก็คือ โต๊ะตัวนี้จะสามารถสำเนาวัตถุในโลกแห่งความเป็นจริงให้กลายเป็นภาพฉายดิจิตอลได้นั่นเอง หลังจากนั้นผู้ใช้ก็จะสามารถทำอะไรกับภาพฉายก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการจับย้าย ขยาย หมุน หรือนำมาไปวางบนกระดาษ เพื่อคัดลอกเป็นลายเส้นออกมาดังตัวอย่างในคลิป (โปรแกรมจะจับคู่รูปร่าง และขนาดของวัตถุ เพื่อนำมันมาซ้อนกันโดยอัตโนมัติ) ว่าแต่ว่า เล่ามาถึงตรงนี คุณผู้อ่านพอจะมองออกไหมครับว่า เราจะสามารถนำมันไปใช้ประโยชน์อะไรได้มากกว่านี้บ้าง?

ข้อมูลจาก: newscientist,arip

ชู "พลังงานลม-น้ำ" เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของไทยในอนาคต

นักวิชาการแนะ ไทยควรเร่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียน เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศและช่วยลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ชูพลังงานลม น้ำ และชีวมวล เป็นหลัก ไทยมีศักยภาพสูง ต้นทุนต่ำกว่าจากแสงอาทิตย์ ควรส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ชุมชนจะได้ประโยชน์โดยตรง พร้อมเสนอภาครัฐปรับค่าแอดเดอร์ให้สูงขึ้น จะจูงใจให้มีการลงทุนพัฒนาพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น

ข้อมูลจาก : Manager Online - วิทยาศาสตร์

Google ปล่อย Chrome 4 สำหรับวินโดวส์


ทีมผู้พัฒนา Google ได้ทำการปล่อย Chrome 4.0 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายหลังจากใช้เวลาซุ่มพัฒนามากว่า 1 เดือน

โดย Chrome 4.0 นี้ จะขยายขอบเขตของความสามารถให้เพิ่มขึ้นสูงไปอีกกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยให้การใช้งานเวบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดนี้ จะสามารถใช้งานได้บนระบบปฏิบัติการ Windows เท่านั้น สำหรับเวอร์ชั่นบนระบบปฏิบัติการ Mac OS X รวมถึง Linux นั้น หลังจากที่ส่งออกมาในรูปแบบเวอร์ชั่น beta เมื่อปลายปีที่ผ่านมานั้น ก็ไม่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวใดๆออกมาอีกเลย โดยน่าจะยังอยู่ในช่วงของการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อหาและแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆ สำหรับในเวอร์ชั่นปรับปรุงใหม่นี้ จะเน้นให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มคุณสมบัติที่ผู้ใช้สนใจเข้าไปได้เอง และจะดึงเอาจุดเด่นหลักของบราวน์เซอร์คู่แข่งอย่าง Firefox หรือที่เราเรียกว่า add-ons เข้ามาปรับปรุงใช้ ซึ่งทางด้านฝั่ง Mozilla เอง ก็มีการดึงเอาคุณสมบัติที่เรียกว่า Jetpack โดยจะคล้ายๆกับเทคโนโลยีของ Chrome เข้ามาปรับปรุงใช้ด้วยเช่นกัน

Source :CNET

ข้อมูลจาก : Pantip.com : Tech Exchange - IT NEWS

Apple คาดผลกำไรไตรมาสแรกน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์

Apple ออกมาเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มีโอกาสขึ้นไปได้สูงถึงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 3.38 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ จากสถิติ 15.68 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯที่ทำไว้เมื่อช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2009

โดยจากการเปิดเผยล่าสุดของทางต้นสังกัด พบว่า ในปีนี้ ผลประกอบการอาจจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 3.67ดอลล่าร์สหรัฐฯต่อหุ้น เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 37.9 - 40.9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดย ณ ปัจจุบันนี้ Apple สามารถทำยอดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ Mac ได้กว่า 3.36 ล้านเครื่องแล้ว หรือคิดเป็นประมาณ 33 เปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นมาจากปีก่อน นอกจากนี้ Apple ยังมียอดจำหน่าย iPhone ได้อีกกว่า 8.7 ล้านเครื่องในเวลานี้ แต่สำหรับยอดจำหน่าย iPod นั้น กลับกำลังอยู่ในช่วงขาลง โดยมีอัตราลดลงไป 8 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

Source :AppleInsider

ข้อมูลจาก : Pantip.com : Tech Exchange - IT NEWS

นักวิเคราะห์คาดตลาด Android จะมีแนวโน้มโตไปจนถึงปี 2013


หลังจากที่ Google ได้สร้างปรากฎการณ์ครั้งสำคัญในการเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Android ให้ได้เป็นที่รู้จัก ก็มีเหล่าบรรดาผู้ใช้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยล่าสุดนักวิเคราะห์ได้ออกมาทำนายถึงทิศทางในอนาคต พบว่า มีแนวโน้มไปได้สวยจนถึงปี 2013 หรืออีก 3 ปีข้างหน้านี้

โดยนักวิเคราะห์จากสถาบัน IDC ได้ออกมาเปิดเผยถึงผลการวิเคราะห์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ระบบปฏิบัติการ Android ของ Google จะสามารถจับตลาดโทรศัพท์มือถือประเภทสมาร์ทโฟนไปได้อีกหลายปี โดยมีแนวโน้มอัตราผู้ใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นๆ ซึ่งคาดว่า น่าจะมีทิศทางไปได้ดีจนกระทั่งถึงปี 2013 โดยจะกลายเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์มือถือที่มียอดผู้ใช้บริการมากเป็นลำดับที่สองของโลก สำหรับในปัจจุบัน ระบบปฏิบัติการที่ยังคงครองความเป็นแชมป์อยู่ได้ยังตกเป็นของ ระบบปฏิบัติการ Symbian ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้มากที่สุดบนโทรศัพท์มือถือของโนเกีย ในขณะที่อันดับที่สองตกเป็นของ BlackBerry และที่สามเป็นของ Apple





Source :CNET

ข้อมูลจาก : Pantip.com : Tech Exchange - IT NEWS


Acer เผยแผนใหญ่เตรียมจับตลาดที่หนึ่งของทุกด้าน


ผู้ผลิตรายใหญ่จากไต้หวันเผยแผนการก้าวนำคู่แข่งทุกๆ ด้านภายในระยะเวลา 6 ปี

Acer ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่สัญชาติไต้หวันเปิดเผยถึงแผนการต่อเนื่องเพื่อก้าวสู่ความเป็นที่ 1 ของทุกวงการด้วยผลิตภัณฑ์ของตนเองในระยะเวลา 6 ปี แผนการที่ว่านี้ประกาศโดยนาย Jim Wong ประธานกรรมการบริษัทโดยจะเริ่มจากการเปิดตัว E-Reader ของตนในกลางปี 2010 นี้และต่อด้วย Net Book Chrome OS ในช่วงปลายปี พร้อมๆ กับการรอเปิดตัวคอมพิวเตอร์พกพาแบบ Tablet ต่อจาก Apple ที่ยังไม่ระบุระบบปฎิบัติการว่าจะเป็น Chrome OS หรือ Windows และพร้อมที่จะเปิดตัว App Stores ของทาง Acer เองที่รองรับกับอุปกรณ์ 2 ชนิดหลัง โดยทาง Acer ได้อธิบายเพิ่มเติมถึงแผนการนี้ว่าเป็นการก้าวนำคู่แข่งอย่างที่ทาง Acer ถนัด โดยมีการประมาณเอาไว้ว่ายอดขายเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ Acer เองจะมีจำนวนประมาณ 12-15 ล้านเครื่องในปีนี้และ 1 ล้านเครื่องในจำนวนดังกล่าวนั้นจะใช้ระบบปฎิบัติการ Chrome OS อย่างไรก็ตาม Jim Wong ก็คงปิดรายละเอียดของ Tablet ที่ว่าเป็นความลับ

Source :techspot.com

ข้อมูลจาก : Pantip.com : Tech Exchange - IT NEWS

AMD เปิดตัว CPU Athlon II และ Phenom II รุ่นใหม่


AMD เตรียมดัน CPU รุ่นใหม่เน้นราคาประหยัดเข้าตลาดพร้อมกันกว่า 5 รุ่น

AMD ผู้ผลิตชิปเซตประมวลผลรายใหญ่ของโลกเปิดตัว CPU ประมวลผลรุ่นล่าสุดจากตระกูล Athlon II และ Phenom II พร้อมกันกว่า 5 รุ่นโดยเน้นการตลาดของทุกรุ่นไปที่เรื่องของราคาต่อประสิทธิภาพที่ได้ โดย CPU ทั้งหมดที่เพิ่งเปิดตัวไปนั้นมีประกอบไปด้วยหน่วยประมวลผลตั้งแต่ 2-4 แกน โดยมีรุ่นที่น่าสนใจก็คือ Phenom II X2 555 Black Edition ที่มีความเร็วสูงถึง 3.2 GHz และนับเป็น CPU หน่วยประมวลผลสองแกน (Dual-Core) ที่มีความเร็วสูงที่สุดในโลก และมีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 99 ดอลล่าร์สหรัฐฯ เท่านั้น (ประมาณ 3,000 บาทไทย) ส่วนรุ่นที่เหลือก็ได้แก่ Athlon II X4 635 ที่มีความเร็ว 2.9 GHz และเป็น CPU ในสาย Athlon II 4 แกนประมวลผลที่เร็วที่สุดเปิดตัวอยู่ที่ 119 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่อด้วย Phenom II X4 910e ความเร็ว 2.6 GHz ราคา 169 ดอลล่าร์สหรัฐฯ Athlon II X3 440 ความเร็ว 3.0 GHz ราคา 84 ดอลล่าร์สหรัฐและ Athlon II X2 255 ความเร็ว 3.1 GHz ราคา 74 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

Source :techspot.com

ข้อมูลจาก : Pantip.com : Tech Exchange - IT NEWS

วิจัยไทยคิด สกว. ต่อยอด 10 ผลงานเด่น เพื่อไทยเข้มแข็ง

สกว. ประกาศผลงานวิจัยเด่น ปี 52 มีผลงานที่ได้รับรางวัลรวม 10 เรื่อง หรือราว 1% ของงานวิจัยทั้งหมดที่ สกว. ให้ทุนสนับสนุนในแต่ละปี ผู้บริหารเผยแต่ละเรื่องล้วนเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม พร้อมพัฒนาระบบวิจัยไทยให้เข้มแข็ง เสริมศักยภาพให้ชุมชนในท้องถิ่น และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ

ข้อมูลจาก : Manager Online - วิทยาศาสตร์

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

ผลสำรวจเผย"คอเกมส์"เทใจให้ Win 7

Steam ชุมชนคนรักเกมส์บนพีซีทีใหญ่ที่สุดในโลกได้รายงานเมื่อเดือนธันวาคม 2009 ที่ผ่านมาว่า Windows 7 ระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดของไมโครซอฟท์ กลายเป็นโอเอสยอดนิยมคอเกมส์บนพีซีไปแแล้ว

รายงานผลการสำรวจฮาร์ดแวร์ของคอเกมส์จากเว็บไซต์ Steam ในเดือนธันวาคม 2009 พบว่า 23% ของสมาชิกในชุมชนคนเล่นเกมส์ที่ใหญ่ทีสุดในโลกแห่งนี้กำลังใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 นอกจากนี้อีก 30% ของผู้ใช้เป็น Windows Vista ที่เหลืออีกประมาณ 45% ยังคงยึดติดอยู่กับ Windows XP นั่นหมายความว่า คอเกมส์ส่วนใหญ่ยังคงรักโอเอสตัวนี้อยู่ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะเริ่มปันใจไปใช้ Windows 7 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ประเด็นข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาก็คือ Windows 7 เพิ่งวางตลาดเมื่อเดือนตุลาคม 2009 มันน่าประทับใจมากที่ด้วยระยะเวลาสั้นๆ โอเอสดังกล่าวสามารถครองส่วนแบ่งผู้ใช้ที่เป็นพีซีเกมเมอร์ได้มากขนาดนิ้ (Amazon เคยให้ข่าวว่า Windows 7 เป็นโอเอสที่มียอดจองสูงสุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในร้านอีกด้วย) โจทย์ใหญ่ของ Windows 7 น่าจะอยู่ที่การเปลี่ยนใจผู้ใช้ที่ยังยึดติดอยู่กับ Windows XP ให้ขยับขึ้นมาใช้ Windows 7 มากกว่า Windows Vista ทีมีแนวโน้มของการอัพเกรดชัดเจนอยู่แล้ว

ข้อมูลจาก: zdnet,arip

ด่วน!!! พบหนอนไวรัสโจมตีฮาร์ดดิสก์

รายงานข่าวล่าสุด นักวิจัยจากบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์แอนตี้มัลแวร์เปิดเผยว่า พบหนอนไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สามารถเขียนทับ (overwirte) ข้อมูลส่วนทีเรียกว่า master boot records (MBRs) ของทุก(ลอจิคัล)ไดรฟ์ในฮาร์ดดิสก์ด้วยข้อมูลของมันเอง ซึ่งทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่จัดเก็บในฮาร์ดดิสก์ได้

นักวิจัยยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วยว่า การกู้ข้อมูลให้คอมพิวเตอร์ที่โดนหนอนไวรัสตัวนี้โจมตีจะมีขั้นตอนที่ค่อนข้างซับซ้อน และต้องใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะ ตลอดจนอาจถึงกับต้องเรียกใช้ผู้ให้บริการที่มีความเขี่ยวชาญ สำหรับหนอนไวรัสดังกล่าวจะมี 2 สายพันธุ์ด้วยกันคือ Win32/Zimuse A และ Win32/Zmuse B โดยทาง ESET บริษัทผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยระบุว่า หนอนไวรัสทั้งสองกำลังแพร่ระบาดในกลุ่มผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในสโลวาเกีย ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนมากกว่า 90% ของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ นอกจากนี้ ยังพบอีกด้วยว่า คอมพิวเตอร์ที่กำลังโดนโจมตีจากหนอนไวรัสตัวนี้ได้เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐ ตามมาด้วยสโลวาเกีย "ประเทศไทย" และสเปน

สำหรับการแพร่กระจายของหนอนทั้งสองสายพันธุ์จะมี 2 วิธีด้วยกัน วิธีแรกพวกมันจะฝังตัวอยู่ในเว็บไซต์ทั่วไป โดยจะอยู่ในรูปของไฟล์บีบอัด ZIP ที่สามารถคลายไฟล์ได้ในตัว หรือโปรแกรมทดสอบ IQ กับสื่อบันทึกข้อมูลพกพาอย่างเช่น USB Drive ซึ่งความสามารถในการแพร่กระจายผ่านสื่อพกพาได้ จะทำให้หนอนไวรัสพันธุ์นี้แพร่กระจายตัวเองได้เร็วยิ่งขึ้น

นอกจากคุณสมบัติในการแพร่กระจายแล้ว หนอนทั้งสองตัวยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของช่วงเวลาฟักตัวก่อนการแพร่กระจายอีกด้วย โดย Win32/Zimuse.A จะต้องใช้เวลา 10 วันก่อนที่จะเริ่มแพร่กระจายจากไดร์ฟ USB ในขณะที Win32/Zimuse.B จะใช้เวลาแค่ 7 วันเท่านั้น หลังจากที่พวกเมันเข้าไปอยู่ในแฟลชไดรฟ์ นอกจากนี้ มันยังมีการตั้งเวลาทำงานอีกด้วย โดยส่วนของโปรแกรมเขียนทับ MBR ของสายพันธุ์ B จะเร็วกว่าจาก 40 วันเป็น 20 วันหลังจากที่มันติดเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อแล้ว

หากไม่ได้รับการกำจัดอย่างถูกต้อง หนอนจะยกระดับการทำลายที่รุนแรงขึ้นไปอีก จนอาจจะทำให้ใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่ได้เลย ผู้สังเกตการณ์เชื่อว่า หนอนตัวนี้มีวัตถุประสงค์ต้องการแพร่กระจายตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์ของกลุ่มแฟนคลับมอเตอร์ไบค์ในสโลวาเกีย แต่เมื่อมันหลุดเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของบริษัท การโจมตีจึงแผ่ขยายวงกว้างออกไป อย่างไรก็ตาม ทาง ESET ได้แจกจ่ายชุดซอฟต์แวร์กำจัดหนอน Zimuse ไว้บนเว็บไซต์แล้ว ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้แล้ว (คลิปข้างล่างนี้แสดงให้พิษสงของหนอนดังกล่าว หลังจากที่ทดลองให้ติดตั้ง และแก้ไขวันทีให้มันทำงาน)


ข้อมูลจาก: pr-inside,arip

Motz วิทยุไม้ขนาดเล็กจิ๋วจากแดนกิมจิ

ก่อนนอนมาดูแก็ดเจ็ตจิ๋วๆ แต่น่าใช้กันอีกสักชิ้นก็แล้วกันนะครับ สำหรับชิ้นนี้ดูจากภายนอกจะมีลักษณะเป็นกล่องไม้สี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ซึ่งความจริงมันคือ วิทยุ FM ในขณะเดียวกันมันยังสามารถใช้งานเป็นลำโพงสำหรับไอพอด (iPod) หรือเครื่องเล่นเอ็มพีสาม (mp3 player) ได้อีกด้วย

Motz wooden FM radio เป็นวิทยุเอฟเอ็มขนาดจิ๋วขนาดเท่าๆ กับก้อนยางลบ (1.45" x 1" x 0.75") โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับมือที่จับมันในรูปแล้ว มันช่างเล็กจริงๆ ซึ่งไม่เพียงแต่มันจะทำงานเป็นวิทยุได้เท่านั้น แต่ยังใช้เป็นลำโพงไอพอดด้วยการเชื่อมต่อก้บแจ็คขนาด 3.5 มม. เพื่อให้ได้ยินเสียงออกมาจากลำโพงในตัวมันได้

ตัวเครื่องจะมาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบรีชาร์จ โดยคุณสามารถชาร์จแบตฯผ่านทางพอร์ต USB ซึ่งหากคุณมี Motz 2 เครื่องก็สามารถต่อเป็นชุดลำโพงสเตอริโอขนาดจิ๋วได้อีกด้วย คุณผู้อ่านสามารถชมคลิปสาธิตการใช้งานทั้งในโหมดวิทยุที่คุณสามารถกดเปิด และเปลี่ยนคลื่นได้จากปุ่มเล็กๆ ด้านหน้า ในขณะที่หากใช้เป็นลำโพงก็แค่เปิดสวิทช์ On แล้วเสียบแจ็คกับไอพอด ก็สามารถใช้งานเป็นลำโพงได้แล้ว

สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจอาจจะต้องสั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์ EarlyShop ของเกาหลี หรือจากเว็บไซต์ GeekStuff4U ก็ได้ สนนราคาของ Motz อยู่ที่ 39,800 วอน หรือคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1,150 บาทครับ

ข้อมูลจาก: EarlyShop,arip

เครื่องถ่ายรูป"ผลิตภัณฑ์"ในแบบสามมิติ

Photosmile 5000 เครื่องช่วยถ่ายรูป"ผลิตภัณฑ์"ในรูปแบบสามมิติ (3 dimension) ตัวแรกของโลกจากบริษัท Ortery ได้ฤกษ์วางจำหน่ายแล้ว หลังจากที่เปิดตัวให้ทั่วโลกได้ตื่นเต้นมาตั้งแต่ปี 2008 โดยมันสามารถถ่ายภาพผลิตภัณฑ์ที่ใส่เข้าไปในเครื่องได้ทุกมุมมอง ก่อนที่จะแปลงฟอร์แมตไฟล์ยอดนิยมเป็นภาพต่อเนื่องในขั้นตอนสุดท้าย

เพียงแค่วางสิ่งของ หรือผลิตภัณฑ์ของทางบริษัทลงบนแท่นหมุนที่อยู่ภายในเครื่องทีมีลักษณะเป็นตู้โค้ง โดยภายในจะมีรางโค้งที่ติดตั้งกล้อง DSLR ของ Canon เพื่อทำหน้าที่ถ่ายผลิตภัณฑ์ใน 360 องศา พร้อมด้วยหลอดไฟเดย์ไลท์ 6500K จำนวน 4 หลอด ซึ่งจะทำให้ได้ภาพที่สมบูรณ์แบบทุกมุมมองจำนวน 72 ภาพ

เครื่องถ่ายรูปสามมิติจะเชื่อมต่อกับพีซีทางพอร์ต USB โดยรูปถ่ายในมุมมองต่างๆ จะถูกจัดเก็บในฟอร์แมต GIF, Flash หรือจะแปลงเป็นแอนิเมชัน 3D ในฟอร์แมต Silverlight โดยใช้ซอฟต์แวร์ Real3D format ของ Ortery ซึ่งไฟล์เอาต์พุทที่ได้เหล่านี้สามารถนำไปใช้ในงานนำเสนอ หรือฝังบนหน้าเว็บ เพื่อให้ลูกค้าสามารถมองเห็นทุกมุมมองของผลิตภัณฑ์ได้นั่นเอง สนนราคาของ Photosmile 5000 จะอยู่ที่ 17,000 เหรียญ หรือประมาณ 560,000 บาท...อุปส์!!!

ข้อมูลจาก: gizmodo,arip

ใครก็รัน Windows 3.1 ในบราวเซอร์ได้?

ช่วงเย็นๆ อย่างนี้ ขอเบรคข่าวไอทีไว้ก่อน แล้วมาสนุกกับเว็บไซต์ไอเดียแหล่มๆ กันดีกว่านะครับ สำหรับคุณผู้อ่านที่ไม่เคยสัมผัสประสบการณ์ในการใช้งาน Windows 3.1 มาก่อน แล้วเกิดอยากลองเล่นดูบ้าง แต่ก็ไม่รู้จะไปหาแผ่นที่ไหนมาติดตั้ง แถมยังไม่คุ้มค่ากับเวลาที่ต้องเสียไปอีกด้วย วันนี้นายเกาเหลามีคำตอบง่ายๆ มาฝากทุกท่านครับ

เว็บไซต์ CrunchGear ได้แนะนำเว็บไซต์ที่จำลอง (emulate) การทำงานของ Windows 3.1 ไว้ในบราวเซอร์ได้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์แบบ (สั่งรัน Dos Box ได้ด้วย) โดยเป็นผลงานของนาย Michael Vincent ซึ่งสำหรับคุณผู้อ่านที่ต้องการลองเล่น Windows 3.1 โอเอสที่มีอายุประมาณ 18 ปีแล้ว ก็สามารถคลิกเข้าไปทดลองใช้งานได้ที่นี่เลย

สำหรับ Windows 3.1 in a browser จะเป็นการจำลองหน้าตาของโอเอสตั้งแต่เดสก์ทอปไปจนถึงโปรแกรมพื้นฐานที่มาด้วยกัน แม้กระทั่งเกมส์ Minesweeper หรือบราวเซอร์ IE แน่นอนว่า มันจะมีการทำงานที่สเถียรกว่า Windows 3.1 ต้นฉบับอย่างไม่ต้องสงสัย เอาเป็นว่า ใครไม่เคย หรือใครที่อยากกลับไปสัมผัสบรรยากาศเก่าๆ ดูบ้าง ก็เข้าไปที่ www.michaelv.org


ข้อมูลจาก: Crunchgear,arip

เอเซอร์ลุยอีบุ๊ก แอพฯสโตร์ เน็ตบุ๊กโครม

หลังจากขึ้นแท่นบริษัทคอมพิวเตอร์อันดับสองของโลก เอเซอร์ (Acer) เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยรายงานข่าวล่าสุด ทางบริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาแอพสโตร์ (App Store) และเครื่องอ่านอีบุ๊ก (e-book reader) โดยกำหนดเปิดให้บริการ และวางตลาดในช่วงกลางปี 2010

Jim Wong ประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์สินค้าไอทีกล่าวยืนยันว่า เอเซอร์มีแผนทีจะเปิดให้บริการ App Store สำหรับลูกค้าทีใช้ผลิตภัณฑ์ของเอเซอร์ โดยไม่ยึดติดกับโอเอสใดโอเอสหนึ่งเท่านั้น (แอนดรอยด์ วินโดวส์ และวินโดวส์โมบาย) ซึ่งแอพฯที่ให้บริการจะมีราคาถูก หรือไม่ก็ฟรีไปเลย แต่ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับช่วงราคาขอแอพฯ สำหรับกำหนดการเปิดให้บริการจะอยู่ในช่วงกลางปี 2010 ส่วนแอพพลิเคชัน Chrome OS จะให้บริการเพิ่มเติมในภายหลัง

นอกจากนี้ ทางเอเซอร์ยังมีแผนที่จะเปิดตัวเครื่องอ่านอีบุ๊กในช่วงปลายเดือนมิถุนายนอีกด้วย ซึ่งคาดว่าอาจจะมีการนำออกแสดงในงาน Computex ช่วงต้นเดือนนั้น สำหรับเครื่องอ่านอีบุ๊กของเอเซอร์จะมีหน้าจอแสดงผลโมโนโครมขนาด 6 นิ้ว โดยตั้งเป้าทำตลาดเครื่องอ่านดังดล่าวในยุโรป และเอเซ๊ย ประเด็นที่น่าแปลกใจก็คือ เหตุใดเอเซอร์ถึงพยายามที่จะเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายแรกที่ออกเน็ตบุ๊กที่มาพร้อมกับ Chrome OS แม้ Wong จะไม่ได้ระบุวันที่ชัดเจน แต่กล่าวว่า ผู้บริโภคจะได้เห็นเน้ตบุ๊ก Chrome OS ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ส่วนจะใช้กลยุทธ์ Dual-Boot กับ Windows แบบทีทำกับ Android หรือจะเป็น Chrome OS เดี่ยวๆ เลยนั้น คงต้องติดตามกันต่อไป

ข้อมูลจาก: techticker,arip

LG ปัดฝุ่นทีวี"หลอดภาพ"ให้น่าใช้สุดๆ

แม้ว่าในงาน CES 2010 กระแส LED TV ทั้งจอใหญ่บิ๊กบึ้มขนาด 60 นิ้ว บางเฉียบไม่ถึงนิ้วไปจนถึงทะลุมิติด้วยเทคโนโลยี 3D ที่ต่างแข่งขันกันนำเสนอให้คุณอยากได้มีไว้ในห้องนั่งเล่น แต่สำหรับทีวีที่นำมาเสนอเป็นแก็ดเจ็ตวันนี้เป็นของ LG บริษัทผู้ผลิตชั้นนำจากเกาหลีที่นำเสนอทีวีรุ่นใหม่ที่ให้คุณได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตที่ยังคงใช้จอหลอดภาพ CRT กันอยู่...เอ่อ...?

LG Serie 1 เครื่องรับทีวีย้อนยุคที่ดีไซน์ไฮโซ แมัจะใช้เทคโนโลยีหลอดภาพ CRT ก็ตาม จอภาพก็ไม่แบนราบเสียทีเดียว แถมยังใช้อัตราส่วนของการแสดงผล 4:3 อีกด้วย LG Serie 1 จะมีขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว พร้อมเสาอากาศแบบหูกระต่าย และขาตั้งโลหะ นอกจากนี้ปุ่มเปิด ปิด เปลี่ยนช่อง และปรับระดับเสียงยังเป็นแบบหมุน หรือบิดแบบที่พบเห็นในทีวีสมัยก่อนอีกด้วย เรียกว่าถอดแบบกันมาเลยก็ว่าได้

อย่างไรก็ตาม LG Serie 1 จะมาพร้อมกับจูนเนอร์ที่ทำงานในระบบดิจิตอลสมัยใหม่ และช่องต่อคอมโพสิตวิดีโอ เพื่อใช้ต่อกับเครื่องเล่นเกมส์คอนโซลสมัยก่อน แถมยังรีโมทสำหรับควบคุมการทำงานของทีวีให้อีกด้วย เรียกได้ว่า เป็นการผสานเทคโนโลยีร่วมสนัยเข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง

นอกจากนี้ LG Serie 1 ยังมีลูกเล่นพิเศษอีกด้วย นั่นคือ คุณสามารถเปลียนโหมดการแสดงผลจากจอสี เป็นขาวดำ หรือโทนซีเปีย (sepia) ก็ได้ ไอเดียเก๋ไม่หยอกเลยนะครับ ตัวเครื่องรับจะมีให้เลือก 2 สีคือ ส้ม (14SR1EB) และสีดำ (14SR1DB) น่าเสียดายที่ LG Serie 1 Retro Classic TV จะวางจำหน่ายในเกาหลีเท่านั้น โดยสนนราคาอยู่ที่ 249,000 วอน หรือคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 7,200 บาทครับ

ข้อมูลจาก: earlyadopter,arip

AMD เผยยอดกำไรครั้งแรกในรอบ 3 ปี


AMD เปิดเปยรายได้กำไรสุทธิครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี

แม้ว่าปี 2009 ที่ผ่านมาจะเป็นปีที่ค่อนข้างโหดร้ายของทาง AMD บริษัทผู้ผลิตและพัฒนาชิปเซตประมวลผลรายใหญ่ของโลก แต่ในที่สุดแล้วกลับเป็นปีที่ AMD สามารถทำกำไรสุทธิอย่างเป็นกอบเป็นกำได้เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา โดยการประกาศกำไรที่ผ่านมานั้นเป็นการคำนวนจากผลประกอบการทั้งหมดของไตรมาศที่ 4 ประจำปี 2009 โดยจากรายงานดังกล่าวทาง AMD มีรายได้กว่า 1.65 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากไครมาศที่แล้วกว่า 18 เปอร์เซ็นต์และเพิ่มขึ้นมากกว่า 42 เปอร์เซ็นต์จากไตรมาศเดียวกันของปี 2008 แต่อย่างไรก็ตามเปอร์เซ็นต์รายได้รวมหรือกำไรสุทธิที่ทาง AMD ประกาสออกมานั้นส่วนหใญ่แล้วเป็นผลพลอยได้จากการที่ Intel จ่ายค่าปรับคดีใก้กับทาง AMD มากกว่าจะเป็นผลกำไรจากการขายสินค้าของตัวเอง

Source :techspot.com

ข้อมูลจาก : Pantip.com : Tech Exchange - IT NEWS

Facebook เตรียมสร้างศูนย์ข้อมูลมูลค่ากว่า 188 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ


เว็บไซต์ให้บริการเชิงเครือข่ายสังคมเตรียมวางแบบแปลนสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่กว่า 136,000 ตารางเมตรและมูลค่ากว่า 188 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

Facebook เว็บไซต์ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์เตรียมขยายฐานข้อมูลของตนด้วยการวางแผนสร้างศูนย์เก็บข้อมูลเฉพาะที่มีขนาดกว่า 136,000 ตารางเมตร และงบประมาณการสร้างสูงกว่า 188 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ โดยกำหนดการแล้วเสร็จของศูนย์ข้อมูลที่ว่านี้จะอยู่ที่ช่วงปลายปี 2011 โดยทางทีมงานได้เลือกรัฐ Oregon ในประเทศสหรัฐฯ เป็นที่ตั้งของศูนย์ข้อมูลดังกล่าว การตัดสินใจขยายฐษนการจัดการเพื่อรองรับในครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทื่จำนวนของผู้ใช้ Facebook ในปัจจุบันพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 350 ล้านรายในปัจจุบัน พร้อมๆ กับบริการมากมายที่ถูกเสริมขึ้นมาจากทีมพัฒนาเองทำให้ทีมงานต้องการพื้นที่และเครื่องมือที่พร้อมรองรับกับจำนวนข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ในอีกทางหนึ่งการสร้างศูนย์ข้อมูลดังกล่าวถือเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นเป็นอย่างดี

Source :techweb.com

ข้อมูลจาก : Pantip.com : Tech Exchange - IT NEWS

HP เตรียมเปิดตลาดเพลงออนไลน์ในพื้นที่ยุโรป


Hewlett-Packard ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่พร้อมลุยตลาดจำหน่ายเพลงออนไลน์ในพื้นที่แถบยุโรป

ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อย่าง HP (Hewlett-Packard) เตรียมบุกตลาดค้าเพลงออนไลน์ในประเทศแถบยุโรป โดยบริการที่พูดถึงนั้นจะเป็นการบริการผ่านโปรแกรมที่ติดติ้งไว้ในในคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่กว่า 16 รุ่นของทาง HP ที่จะมีกำหนดการวางตลาดภายในปี 2010 นี้ โดยทาง HP หวังที่จะแย่งส่วนแบ่งการตลาดมาจากบริการขายเพลงออนไลน์ผ่านทาง iTune ของ Apple ที่ครองตลาดอยู่ การบริการและจัดการบริการค้าเพลงออนไลน์ของทาง HP นั้นถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Omnifone และได้พูดถึงโปรโมชั่นแรกของการทำตลาดไว้ว่าผู้ใช้จะเสียค่าใช้จ่ายเพียงแค่เดือนละ 10 ยูโร (ประมาณ 400 บาทไทย) และสามารถดาวน์โหลดเพลงมาเก็บไว้ได้ทุกเพลงแต่มีข้อแม้ว่าจะสามารถฟังได้เพียงแค่ 14 วันเท่านั้นและเมื่อสิ้นสุดสัญญาของแต่ละเดือนผู้ใช้จะสามารถเลือกเก็บเพลงแบบถาวรได้เดือนละ 10 เพลง บริการดังกล่าวจะมีขึ้นในประเทศแถบยุโรปได้แก่ ประเทศในเครือสหราชฯ ประเทศฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี สเปน สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียมและออสเตรีย

Source :reuters.com

ข้อมูลจาก : Pantip.com : Tech Exchange - IT NEWS